รีวิว : Super Monkey Ball [iPhone]

สิงหาคม 13, 2008

ได้แรงบันดาลใจอย่างแรงในการอัพเดต iPhone firmware 2.0 ก็มาจากเกมส์นี่แหละ
เลยคันไม้คันมือ อยากจะเขียนรีวิว แบบเล่าสู่กันฟัง (ขออนุญาติท่านเว็บมอนสเตอร์นะครับ)
เผื่อว่า จะยั่วน้ำลายให้คนที่ยังใช้ firmware 1.x กว่าๆ อัพตามๆ กันมา

ขอแบ่งการรีวิวออกเป็น 4 ส่วน ตามนี้นะครับ

1. Graphic 10/10

ถ้าจะพูดว่า super monkeyball เป็นเกมส์ที่ออกมาคู่บารมี firmware 2.0 ก็คงจะไม่เกินไป เพราะไม่ว่าจะตั้งแต่เมื่อตอนประกาศการพัฒนา app ของ firmware 2.0 จนกระทั่งว่า เริ่มจำหน่ายบน appstore Apple ก็เอา super monkey ball มาโปรโมทเป็น app เชิดหน้าชูตา

อีกทั้งยังเป็นเหตุผลที่ทำให้หลายๆ คนที่ยอมอัพมาเป็น 2.0 (อย่างน้อยก็ผมคนหนึ่งแหละ)
ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะกราฟฟิคที่ใช้ความสามารถของ core animation และ character น่ารักของเกมส์นี้

ถึงแม้จะยังดูเหมือนว่า กราฟฟิคของเกมส์ยังดูง่ายๆ และยังสามารถพัฒนาขึ้นได้อีก แต่เมื่อเทียบกับเกมส์อื่นๆ ที่เพิ่งจะออกจำหน่ายบน AppStore เรียกว่า ดีเลยทีเดียว สามารถเอาไปเทียบกับกราฟฟิคเกมส์ console แบบมือถือตัวอื่นๆ อย่าง PSP หรือ NDS ได้สบายๆ (ให้ความรู้สึกว่า เป็นภาพเกมส์ระบบ Console จริงๆ) ผมคิดว่า คงไม่เกินไปที่จะให้เต็ม 10 ครับ

2. Sound 9.5/10

เนื่องจาก เพิ่งได้ลองเล่น ราวๆ ชั่วโมงหนึ่ง อีกทั้งยังเล่นผ่านไปได้ไม่ไกล เลยขออนุญาติรีวิว เฉพาะเท่าที่ได้เล่นนะครับ เสียงดนตรี background ทำออกมาได้ น่ารัก สดใส  ชวนเล่นมาก (อาจจะได้อนิสงค์มาจากการพอร์ตจากเครื่อง console – แต่ตัวผมเองไม่มีโอกาสได้เล่นบนเวอร์ชั่นเครื่อง console) ดนตรีประกอบ loop  ต่อเนื่อง ไม่มีสะดุด (บางเกมส์ที่ไม่ค่อยใส่ใจรายละเอียด มักจะปล่อยให้มีช่วงสะดุดตอนที่ loop  ทำให้อารมณ์สะดุดเพราะไอ้ช่วงที่เสียงว่างๆ ได้)  นอกจากนี้ sound fx ออกมา ทำให้ได้อารมณ์ร่วมจริงๆ ยิ่งใส่หูฟังเข้าไปด้วย แทบจะลุ้นตามทุกทีที่เจ้าลิงน้อยจะตกเหว (น้องลิงมันจะร้อง ง้าวๆ เหมือนจะหล่นซะให้ได้เสียจริงๆ)

3. Game play 8 / 10

ดูเหมือนเกมส์นี้เกิดมาเพื่อ iPhone เลยก็ว่าได้ เนื่องจากการควบคุมในเกมส์ใช้ความสามารถของ Accelerometer  ของ iPhone ออกมาได้เต็มที่ แถมการบังคับทำออกมาได้อย่างลื่นไหล เหมือนกับเรากำลังกลิ้งลูกกลิ้งอยู่บนถาดเลยทีเดียว แต่ก็สร้างความลำบากใจให้กับผมไม่น้อย ตอนเริ่มแรกเล่น ตั้งอาศัยเวลาซักพักถึงจะบังคับเข้าที่เข้าทาง


ปัญหาการบังคับอย่างหนึ่งที่ผมเจอกับตัวเองคือ สายหูฟังที่อยู่ทางด้านซ้ายมือ มันจะไปเกะกะมือเราเวลาเล่น

กับไอ้เจ้าตัว Accelerometer ที่ ทำให้การบังคับมี ข้อจำกัด บังคับว่าผู้เล่นต้องนั่งหรือยืนในท่าที่เหมาะสม ครั่นจะนอน(หงาย)เล่น ไม่ได้เลยครับ อีกทั้งมือต้องนิ่งพอสมควรเลย (สำหรับด่านยากๆ )  ดังนั้นจึงไม่ค่อยเหมาะกับคนที่กินเหล้า สูบบุหรี่จัดๆ นะครับ ;b

ส่วนระดับความยากง่ายของเกมส์ทำออกมาได้โหดใช้ได้เลยทีเดียว แบบว่า แค่ด่านแรกๆ บางด่านยังต้องตั้งใจเล่นถึงจะผ่านเลยทีเดียว ความเห็นส่วนตัวผม รู้สีกว่า Sega เอาด่านยากๆ บางด่านออกมาไว้ต้นๆ เกินไป อาจจะทำให้คนเล่นที่ไม่ชำนาญ พลาดเบื่อไปเสียก่อน

4. Value of Money 8/10

ทาง Sega ได้ตั้งค่าตัว super monkey ball ไว้ที่ 9.99 U$ ตกแล้วก็ราวๆ 340 บาท เมื่อเทียบกับ ราคาเกมส์ console เรียกว่า ไม่แพงเลยทีเดียว เพียงแต่ว่า ไม่มีกล่อง คู่มือ สีสวยมาให้ด้วยนี่ซิ ดังนั้นส่วนตัวว่า ราคาน่าจะลดอีกซักนิดเป็น 5~8 U$

5. Overall 9/10

สรุปว่า Super Monkey Ball เป็นเกมส์ที่สามัญประจำเครื่องที่ชาว iPhone ไม่ควรพลาด ถึงแม้ว่า จะไม่ใช่คอเกมส์ครับ

ปล. สำหรับ version ที่มาพร้อมกับยาแก้ไอ สามารถติดต่อขอรับได้ที่นี่ครับ


iPhone firmware 2.0.1

สิงหาคม 12, 2008

เหอะๆ …. ในที่สุดก็อดใจไม่ไหว อัพเดจไปจนได้
ผมอัพเดจจาก 1.1.4 ไปยัง 2.0.1 โดยใช้วิธีทำ custom firmware ด้วย PwnageTool (หรือที่หลายๆคนในเน็ต ชอบเรียกว่า โปรแกรมสัปปะรด

หลังจากสิบนาทีแห่งการรอคอยอันแสนนาน iPhone ผมก็ได้เดินทางมาถึงเวอร์ชั่น 2.0.1
เสร็จแล้วเลยรีบจัดแจกโหลดเกมส์ Monkey ball ที่อยากเล่นลง iPhone ทันทีเลย (อันนี้แทบจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ผมยอมอัพเดต 2.0.1

หลักจากที่ลองเล่นได้พักหนึ่ง ยอมรับว่า แรกๆ มันก็สนุกดีอยู่หรอก แต่พอผ่านไปซัก 6 ฉาก

โอ …. แทบจะลืมตัวโยนเครื่องทิ้งเลยล่ะ เพราะยากมาก (หรือว่า ผมแก่เกินวัยกว่า)

ส่วนอื่นๆ ที่แรกประทับใจบน 2.0.1 นี่ เห็นจะเป็นโปรแกรม mail ที่สามารถอ่านไฟล์ powerpoint ได้แล้ว และทำให้ผมทำงานสะดวกขึ้น เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ชอบส่งอีเมล์มาเป็น powerpoint

กับ Contact ใน Phone ที่เราสามารถ search ชื่อได้

แต่มีจุดดี ก็ต้องมีเสีย ผมต้องยอมเสียบางอย่างใน 1.1.4 ไปหลายตัวอยู่เหมือนกัน เช่น  keyboard ไทย,  Mobile chat, ธีม ไอคอน  แถม Installer ยังใช้ไม่ได้อีก T-T

เอาหน่า …. คนเราต้องเดินหน้า จะอยู่กับ 1.1.4 อย่างเดียวได้ไง ใช่ม้า~~~

สำหรับเพื่อนๆ ร่วมออฟฟิตที่สนใจอยากจะตามมาใช้ ตอนนี้ท่านสามารถมาอัพเดตได้ที่ผมแล้วนะครับ


เฮ้ย!! iPhone 3G ถูกไม่จริงนิหว่า !?

กรกฎาคม 4, 2008

(จาก ilounge.com) ตามที่ Apple เคยประกาศข่าวถล่มราคา iPhone 3G ที่จะออกมาใหม่ในวันที่ 11 กค. ที่จะถึงนี้ว่าจะมีราคาเพียงแค่ $199 (ประมาณ 6,000 กว่า บาท) ล่าสุดทาง AT&T ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม สำหรับราคา iPhone 3G ใน USA แล้ว

โดยรุ่น 8GB จะมีราคา $199 และรุ่น 16GB จะมีราคา $299 (ประมาณ 10,000 บาท) แต่……

ราคาที่ว่านั้นน่ะ … เฉพาะสำหรับคนที่เคยซื้อ iPhone ก่อนวันที่ 11 กรกฎาคม และจะต้องต่อสัญญาใหม่กับ AT&Tเป็นเวลา 2 ปี หรือเป็นคนที่ได้รับสิทธิ์ส่วนลดในการอัพเกรดเท่านั้น (คาดว่า น่าจะหมายถึง ลูกค้าเก่าของ AT&T แต่ไม่ได้ใช้ iPhone)

สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับสิทธิ์ส่วนลด และจะเปิดสัญญาใหม่เป็นเวลาสองปี จะซื้อรุ่น 8GB ได้ในราคา $399 (13,300 บาท) และรุ่น 16GB ราคา $499 (16,600 บาท) ซึ่งก็เท่ากับราคาของ iPhone รุ่นแรกนั่นแหละ

สรุป ถ้าเข้าเมืองไทยจริง ราคาคงยังเท่าเดิม แถมอาจจะแพงกว่า รุ่นแรกอีก …. อุอุ

อ้างอิงจาก :iPhone 3G $399-$699 U.S. price options, 8AM launch announced


iPhone กับ Bluetooth – ปัญหา connectivity ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข

มิถุนายน 15, 2008

พอดีมีอยู่อีกเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับ iPhone 3G ที่ ผมยังไม่ได้เขียน นั่นก็คือ เรื่องของการเชื่อมต่อของ iPhone กับอุปกรณ์อื่นๆ (connectivity)

เมื่อคืนวันจันทร์ก่อน สตีฟไม่ได้พูดถึงมันใน checklist เลยน่าเป็นห่วงว่า แอปเปิ้ลพยายามเกินไปหรือปล่าว ที่จะดัน iPhone เป็นอุปกรณ์เคลี่อนที่แบบ All-in-One โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับชาวบ้านเลย

เหมือนดังหัวข้อ…. จุดที่ผมอยากจะเขียนถึงก็คือ เจ้า Bluetooth ที่แสนจะไร้ประโยชน์ คือ มันต่อได้กับพวก hand-free กะลำโพงได้แค่นั้นเองอ่ะ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมถึงไม่ยอมทำ pairing list ให้มันเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อย่างอื่น เช่น Notebook หรือ wireless keyboard

ในจุดนี้ ผมเข้าใจ ในมุมมองของแอปเปิ้ลว่า จะให้ iPhone เป็น device ที่ใช้งานได้เทียบเท่า Notebook (จะได้ไม่ต้องพก Notebook) ซึ่งจริงๆ ก็เป็นไปไม่ได้อีกแหละ (you can’t make the gorilla to fly)เนื่องจากความต้องการของแต่ละคนไม่เท่ากัน ผมยกตัวอย่างผมเอง

ย้อนกลับไปเมื่อต้นอาทิตย์ก่อน จะเห็นว่า นี้เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมต้องถอยเจ้า Nokia 2630 มาใช้ต่อเน็ต แทนที่จะรอแอปเปิ้ลพัฒนา

หรือไม่ก็ ในกรณีของ wireless keyboard น่าจะยังมีหลายๆ คนอึดอัดใจแน่ๆ ถ้าต้องพิมพ์ keyboard บน iPhone เยอะๆ นานๆ ถึงแม้ว่ามันจะถูกออกแบบมาให้พิมพ์ง่ายยังไง ก็ยังไม่สะดวกเท่า keyboard แบบ wireless (ซึ่งตรงนี้แอปเปิ้ลควรจะทำให้ pairing กับ wireless keyboard ของตัวเองได้เป็นอย่างน้อย)

ซึ่งผมสงสัยตรงจุดนี้จริงๆ ว่า ทำไมเรื่องง่ายๆ แค่นี้ ทำไมแอปเปิ้ลถึงไม่พยายามที่จะทำ (หรือมันยากวะ)


iPhone 3G ราคาถูกจริงหรอ ?

มิถุนายน 14, 2008

ช่วงนี้พยายามจะเลี่ยงไม่เขียนถึง iPhone (ตอนแรกตั้งใจว่าจะเขียนแต่ทิปแมคเท่านั้นนะ) แต่ก็อดไม่ได้ เนื่องจากล่าสุด ได้ข่าวออกมาอัพเดจ เกี่ยวกับกลวิธีการรับมือจากไร่แอปเปิ้ล ที่จะป้องกันบรรดานักหิ้วที่จะแอบเอา iPhone 3G ออกจากไร่ ไป Unlock แล้วใช้กับเครือข่าย และประเทศที่ไม่ได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
( อ้างอิงจากกระทู้ของคุณ sk- ใน freemac.net )

วิธีการนั้น ก็คือ

1. iPhone อาจจะไม่มีขายแบบ Online บน Apple Web Store
2. การ Activate หรือเปิดเบอร์นั้นจะไม่ทำบน iTunes อีกต่อไป เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว
3. ผู้ซื้อจะต้อง Activate และเซ็นสัญญาในการใช้งาน iPhone กับเครือข่าย at&t หรืออื่น ๆ ในแต่ละประเทศเป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี

อย่างไรก็ดี เว็บ techible.com ก็ได้เสนอแนวทางในการหิ้ว iPhone ไว้ คือ ให้ซื้อ iPhone และ Activate ตามปกติ เมื่อครบหนึ่งเดือนก็ให้ยกเลิกและจ่ายยกเลิกสํญญา วิธีนี้จะทำให้ราคาจริงของ iPhone 3G (8GB) กลายเป็น $449 ซึ่งแพงกว่า iPhone รุ่นเก่าถึง $50 ทั้งนี่น่าจะทำให้ราคาที่จะมาขายในไทยก็ต้องสูงกว่า iPhone รุ่นแรกแน่นอน

หรือไม่ก็ต้องใช้วิธีที่คุณ sk- แนะนำไว้คือ

1. วันที่ 11 ก.ค. ให้ไปที่ Apple Store 5th Avenue, New York City (สาขานี้เปิด 24 ชั่วโมง)
2. รีบไปต่อคิวรอซื้อ iPhone 3G
3. เมื่อถึงคิว บอกพนักงานขายอย่างมั่นใจว่า อยากจะได้ iPhone 3G (8 หรือ 16GB แล้วแต่กำลังทรัพย์)
4. ตามปกติพนักงานจะให้เปิดเบอร์ (Activate) ก่อนถึงจะออกจากร้านได้
5. ให้คุณจ่ายค่า iPhone 3G by SK- on freemac.net
6. เสร็จแล้ว บอกพนักงานว่าคุณจะไม่ไปไหน จะอาศัยอยู่ในร้านนี้แหล่ะ 30 วัน เพื่อที่จะได้ไม่ต้อง Activate (ก็ทำตามเงื่อนไขไง ถ้าไม่ Activate ก็จะไม่ออกจากร้าน เหอะๆ Twisted Evil )
7. ให้คนทางบ้านคอยส่งข้าว ส่งน้ำตลอด 30 วันนี้
8. เมื่อครบ 30 วัน คุณก็สามารถออกจากร้านได้โดยที่ไม่ต้อง Activate iPhone 3G

วิธีหลังนี้ดูหน้าสนใจดีไหมล่ะครับ Twisted Evil

หลังจากที่ iPhone 3G ออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เราคงได้เห็นลีลาการหิ้วของนักหิ้วชาวไทยว่า จะหาทางออกให้กับพวกเราที่ตั้งหน้าตารอ iPhone 3G ยังไงหนอ ?

อีก 1 เดือนได้รู้กันครับ


มันมาแล้ว …. iPhone 3G (ต่อ)

มิถุนายน 12, 2008

กลับมาเล่าต่อจากเมื่อวาน เหตุผลที่ผมเรียก ผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ลว่า วัตถุศักดิ์สิทธิ์ นั่นก็เพราะว่า เบี้องหลังของผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ลนั่น มันเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ ที่ได้สร้างความผูกพันธ์ให้กับผู้ใช้ จนกลายเป็นความศรัทธาในที่สุด

แต่ก็นั่นแหละ… มีคนชอบ ก็ต้องมีคนไม่ชอบเป็นธรรมดา สินค้าของแอปเปิ้ลเป็นอะไรที่ค่อนจะสุดขั้วไปด้านใดด้านหนึ่ง ตังนั้นถ้าคนที่รู้สึกโดนกับสินค้าของแอปเปิ้ล แอปเปิ้ลทำอะไรออกมายังไงก็โดน ในขณะคนที่ไม่โดน ไม่ชอบ เชียร์ยังไงก็ไม่ขึ้น ผมเลยว่า มันคล้ายๆ กับลัทธิ

ตอนได้ iPhone มาใหม่ๆ ผมเองยังคิดเล่นๆ เลยว่า iPhone จริงๆ แล้ว เป็นสินค้าที่ยังทำไม่ดี แต่ก็เอาออกมาขายเสียแล้ว มันยังขาดๆอะไรอยู่หลายๆ อย่าง เช่น Bluetooth ลิงค์กับอุปกรณ์อย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจาก headphone หรือลำโพง ถ่าย VDO ไม่ได้ ส่ง MMS ก็ไม่ได้ (2 อย่างหลังนี้มี 3rd party software ออกมาทำให้มันทำได้แล้ว) อีกทั้งยังติดข้อจำกัดที่ต้อง sync ผ่าน iTunes เท่านั้น เลยทำให้คนไม่ชอบ ยังไงก็ไม่ชอบไงครับ

ในความคิดผม ผมว่า เหตุผลนั้นเป็นเพราะ แอปเปิ้ลมีแนวทางในการพัฒนาสินค้า ที่เป็นตัวของตัวเอง และมักจะมี checklist feature ของตัวเองอยู่ในใจ

อ้างอิงจาก keynote ของสตีฟ คราวนี้แอปเปิ้ลมี checklist อยู่ 5 ข้อด้วยกัน คือ

1. 3G (เพื่อให้เข้าถึงข้อมูลได้เร็ว)
2. Enterprise support (เอาใจลูกค้ากลุ่มบริษัท) *
3. Third party applications (เพื่อให้คนมาพัฒนา software ให้ iPhone มากๆ) *
4. more countries (หาซื้อตามประเทศต่างๆ ได้มากขึ้น)
5. more affordable (ลดราคาให้คนมีปัญญาซื้อได้มากขึ้น ข้อนี้โดนมากๆ)

แล้วแอปเปิ้ลก็ทำได้ทั้งหมดอย่างที่ว่า (แต่นอกเหนือจากนี้เรายังไม่ทำ ไม่ต้องสงสัย …. 555
* ข้อ 2 กับ 3 สตีฟเคยพูดไปแล้วเมื่อครั้ง event เดือนมีนาคม

แต่ก็อีกนั่นแหละ ….. checklist ของแอปเปิ้ล อาจจะไม่เวิร์คกับประเทศบางประเทศแบบประเทศไทย คือ

1. feature 3G ยังไม่สามารถใช้งานได้จริงในประเทศไทย เนื่องจากยังไม่มีเครือข่ายรองรับ
4. more countries ที่ทำไมยังไม่มีประเทศไทยฟ่ะ (ผมคิดว่า น่าจะเป็นเพราะข้อ 1 – ระบบยังไม่รองรับ เฮี่ยสตีฟเลยยังไม่ยอม say yes กับค่ายมือถือในบ้านเรา)

เอาล่ะ …. มาดูแผนที่ให้ปวดใจกันเล่นๆ ยังไม่ประเทศไทยเราอยู่ในแผนที่ ซึ่งเป็นนัยว่า ยังไม่น่าจะมี iPhone ขายอย่างเป็นทางการ ในประเทศไทย ภายในปี 2008 แน่ๆ (ดังนั้นรอใช้บริการเครื่องหิ้ว หรือมาบุญครองเซอร์วิสได้เลย)

เห็นทั้งราคาและ feature ที่เพิ่มเข้ามา คนที่มี iPhone รุ่นแรก ก็ไม่ต้องน้อยใจไปหรอกครับ เนื่องจาก

1. iPhone 3G ตัวใหม่นี้ กว่าจะวางตลาดก็อีกประมาณเดือนหนึ่ง (กำหนดจำหน่าย 11 กรกฎาคม)

2. เมื่อเครื่องออกมาแล้ว อาจจะต้องใช้เวลาซักพักถึงจะปลดล็อคได้ อาจจะราวๆ เดือนหนึ่ง ในขณะที่เครื่องเก่าน่าจะอัพเดจ/ปลดล็อคไปใช้เป็น 2.0 ได้เลย (หรืออย่างเลวร้ายสุด ยังไงก็ได้ใช้ firmware 2.0 ก่อนโมเดลใหม่อยู่ดี)

3. feature ใหม่ อย่าง 3G เอามาใช้บ้านเรา ก็ยังวิ่งได้แค่ EDGE เหมือนเดิม

อ่านถึงตรงนี้สบายใจขึ้นบ้างแล้วหรือยังครับ ที่อย่างน้อยเราก็ได้มันมาอยู่ในมือก่อนแล้ว 😉

ส่วนเรื่องหลังจากนี้อีก 1-2 เดือน ค่อยมาว่ากันอีกที


มันมาแล้ว …. iPhone 3G

มิถุนายน 11, 2008

เมื่อจบงาน WWDC เมื่อคืนไปแล้ว ถ้าจะไม่พูดถึงเจ้า iPhone ตัวนี้ มันจะยังไงๆอยู่
แต่ที่จะเขียนถึงนี่คงจะไม่ได้เล่าถึงงานเมื่อคืนตรงๆ เพราะเว็บอื่นเค้าชิงรายงานไปกันจนหมดแล้ว + ความขี้เกียจของผม
เอาเป็นว่าในรายละเอียดแล้วหาอ่านได้จากเว็บ siampod แทนล่ะกันนะ … อุอุ

วกกลับมาเข้าเรื่องที่จะเขียน เป็นความคิดเห็นส่วนตัวผมกับ iPhone 3G ตัวใหม่แทนแล้วกันนะ

ความรู้สึกแรกจริงๆ ไม่ประทับอะไรมากจนมาถึงตอนที่สตีฟพูดว่า จะทำให้ iPhone ตัวใหม่นี่เข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ได้ง่าย (คือราคาถูกลงนั่นแหละ) แล้วก็ประกาศโครม!! ราคาใหม่ $199 (ราวๆ 6,600 บาท) …O_o โอวว… แม่เจ้า ขณะนั้นผมอยู่ใน chat room ของ TMC บรรยกาศแทบถล่มทลาย มีแต่คนบ่นว่า จะได้เสียตังค์อีกแล้ว แล้วสตีฟก็จบการ presentation ด้วยอารมณ์งงๆ ที่เต็มไปด้วยความง่วงของผมเมื่อคืน ก็เลยถือโอกาสลาเพื่อนๆ ในห้อง chat ไปนอน

ตื่นมาตอนเช้า ขับรถไปทำงาน มานั่งคิดๆ ดู เอ … จริงๆ มันแค่เพิ่ม 3G, เปลี่ยนวัสดุบอดี้มาเป็นพลาสติก, แล้วก็ลดราคานี่หว่า ทำไมต้องตื่นเต้นด้วยหว่า!? (หลังๆ มานี่โดนท่านศาสดาสตีฟ psycho ให้ตื่นเต้นไปแบบไม่รู้ตัวบ่อย) แต่ก็ยอมรับครับ ว่าราคานี่ทำให้ iPhone น่าสนใจขึ้นเป็นกอง

ส่วนใครที่เพิ่งจะเข้ามาอ่าน อาจจะเริ่มสนใจ หรือเริ่มสงสัยกับวัตถุศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้* ว่ามันมีเสน่ห์น่าหลงไหลยังไง ทำไมสาวกแมคถึงได้หลงไหล พรุ่งนี้ผมจะมาเขียนต่อครับ

* ผมขออนุญาติเรียก product ของ Apple ว่า วัตถุศักดิ์สิทธิ์นะครับ ส่วนเหตุผลจะมาเขียนขยายความต่ออีกที


Nokia 2630 มือถือราคาประหยัดที่ function อย่างเทพ

มิถุนายน 9, 2008

Nokia 2630

เรื่องมันเกิดมาจาก ความหงุดหงิดที่บางครั้ง ต้องอยู่นอกบ้านเป็นเวลานานๆ อยากจะใช้งานอินเตอร์เน็ต ทั้งเอาไว้ทำงาน หรือฆ่าเวลา แก้เซ็ง แต่ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมีบริการ Wi-fi อยู่หลายพื้นที่ในกรุงเทพ แต่ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยฟรี แพงเกิน แถมไม่ค่อยได้เรื่อง หรือถ้าเจอ Wi-fi แบบฟรีๆ บางร้าน ก็โดนคนรุมใช้จนช้าเสียยิ่งกว่าเต่า ก็เลยเกิดความคิดที่อยากจะได้มือถือที่ต่อ Edge ราคาไม่แพง เอาไว้เผื่อติดตัวไว้สนองตัณหา เวลาอยากใช้เน็ตจะได้สะดวกหน่อย

หลังจากที่ค้นหาข้อมูลมานาน ก็มาปิ๊งกับมือถือราคาย่อมเยาตัวหนึ่ง นั่นก็คือ Nokia 2630 ที่มีค่าตัวอยู่ราวๆ 2,890 บาท (ราคา mbk ณ วันที่ 8 มิ.ย. 2551) จริงๆ ผมเองเคยแนะนำมือถือตัวนี้ให้น้องที่ออฟฟิตคนหนึ่งไปใช้ ปรากฎว่า ถูกใจขนาดว่า เจ้าตัวไปเที่ยวต่างจังหวัดแล้วทำมือถือตกเขาหาย พอกลับมากรุงเทพ ก็ซื้อใหม่เป็นรุ่นนี้อีก ไม่วายพี่ที่เป็น messenger แอบเห็นและชอบใจในความบาง ก็เลยไปถอยมาใช้บ้าง ส่วนเจ้าตัวคนที่แนะนำชาวบ้านเค้าไปซื้อ เพิ่งได้มีโอกาสไปถอยมาใช้ก็วันนี้แหละ

โดยรวมฟังค์ชั่นของมือถือรุ่นนี้แทบจะตอบสนองความต้องการข้างต้น ได้เกือบหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นจอสีที่มีความละเอียดปานกลาง ตัวหนังสือใหญ่จุใจ (หรือจะตั้งให้เล็กๆก็ได้) เสียงเรียกเข้าแบบ true tone กล้องแบบพอไปวัดได้ รูปร่าง ความบางและเบาอย่างไม่น่าเชื่อ ที่สำคัญคือ มี Bluetooth และ Edge Class 6 (177.6 kbps max)

ถึงแม้ Edge class 6 จะดูด้อยไปหน่อย แต่ถ้าเทียบกับค่าตัวแล้วนับว่า คุ้มค่า อีกทั้ง เมื่อนำไปใช้กับ provider เมืองไทยแล้ว จะที่ได้ทดลองแล้ว speed (kbps) วิ่งอยู่ที่ราวๆ ร้อยต้นๆ ไปถึง 140 กว่าๆ (ทดสอบกับเว็บของ nectec | เร็วกว่าโมเดมบ้านๆ ประมาณ 2-3 เท่า) ก็นับว่า เยี่ยมแล้วสำหรับผม

อ๋อ… เกือบลืมพูดถึงตัวแพคเกจอินเตอร์เน็ต ตัวแพคเกจที่เอามาใช้กับ Nokia 2630 นี่เป็นของ Dtac ครับ ผมซื้อเป็นแบบซิมเปิ้ล(เติมเงิน1ที อยู่ได้ปีหนึ่ง) ซึ่งผมสมัครไปเป็นแบบ 100 ชั่วโมง 350 บาท อยู่ได้ยาวตามวันหมดอายุของซิม( 1ปี) ซึ่งเมื่อรวมกับค่ามือถือแล้ว ตกอยู่ประมาณ 3 พันต้นๆ แค่นี้คุณก็พกเน็ตไปกับคุณได้ทุกที่ในประเทศไทยแล้ว

Nokia 2630 and my iBook G4
สีขาวรับเข้าชุดกับ iBook / macbook ได้อย่างไม่น่าเชื่อ >.<

ข้อมูลอ้างอิง
Nokia 2630
เทคโนโลยี EDGE
ทำความรู้จักกับ EDGE